ไทยห่วงสุขภาพ! กรมสรรพสามิต เตรียมออก 'ภาษีความเค็ม' ลดโรค NCDs สร้างสังคมไทยแข็งแรง
ไทยห่วงสุขภาพ! กรมสรรพสามิต เตรียมออก 'ภาษีความเค็ม' ลดโรค NCDs สร้างสังคมไทยแข็งแรง
กรมสรรพสามิตเดินหน้าผลักดันนโยบายภาษีเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จจาก 'ภาษีความหวาน' ล่าสุด เตรียมนำเสนอมาตรการ 'ภาษีความเค็ม' เพื่อควบคุมปริมาณโซเดียมในอาหารและเครื่องดื่ม ลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย
ทำไมต้องมี 'ภาษีความเค็ม'?
การบริโภคโซเดียมที่สูงเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรค NCDs เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต และโรคอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย การออก 'ภาษีความเค็ม' จึงเป็นหนึ่งในมาตรการที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ผลิตให้หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
'ภาษีความเค็ม' จะทำงานอย่างไร?
แนวทางการจัดเก็บ 'ภาษีความเค็ม' จะคล้ายกับ 'ภาษีความหวาน' คือจะเรียกเก็บจากผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่มีปริมาณโซเดียมสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามระดับความเค็มของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้ผลิตลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ของตนเอง และส่งเสริมให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำลง
ผลกระทบที่คาดหวัง
- สุขภาพดีขึ้น: การลดปริมาณโซเดียมในอาหารและเครื่องดื่มจะช่วยลดความเสี่ยงโรค NCDs และส่งเสริมสุขภาพของคนไทย
- พฤติกรรมเปลี่ยน: ผู้บริโภคจะตระหนักถึงอันตรายของการบริโภคโซเดียมสูง และหันมาเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น
- อุตสาหกรรมปรับตัว: ผู้ผลิตจะมีการปรับปรุงสูตรผลิตภัณฑ์เพื่อลดปริมาณโซเดียม และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพใหม่ๆ
- รายได้เพิ่ม: รัฐบาลจะได้รับรายได้จากการจัดเก็บภาษี ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการส่งเสริมสุขภาพต่างๆ
ความท้าทายและข้อควรพิจารณา
การออก 'ภาษีความเค็ม' อาจมีข้อท้าทายบางประการ เช่น การกำหนดเกณฑ์ความเค็มที่เหมาะสม การสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจถึงประโยชน์ของภาษี และการป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตหลีกเลี่ยงภาษีด้วยการปรับเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์ในลักษณะที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม หากมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ 'ภาษีความเค็ม' ก็สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพของคนไทยและสร้างสังคมไทยที่แข็งแรงได้
อนาคตของภาษีเพื่อสุขภาพ
กรมสรรพสามิตมีแผนที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดเก็บภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น ภาษีน้ำตาล ภาษีไขมัน และภาษีอาหารแปรรูป เพื่อให้ครอบคลุมปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพที่สำคัญต่างๆ และสร้างระบบภาษีเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน